7 ค่ายยักษ์รถญี่ปุ่นสู้ศึกหนัก!!! โดนภาษีสหรัฐฯ ถล่ม อ่วมกว่า 9.7 พันล้านดอลลาร์ แบรนด์ไหนยังรอด?

35432

      7 ค่ายรถญี่ปุ่นเจอภาษีนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ ฉุดกำไรครึ่งปีวูบ 30% เผย ‘โตโยต้า’ เจ็บน้อยสุด จากกระแสยอดขายไฮบริด

              รายงานผลประกอบการล่าสุดเผยว่า 7 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ รวมมูลค่าราว 9.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.5 ล้านล้านเยน หรือกว่า 3.1 แสนล้านบาท) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ช่วงเม.ย.-ก.ย.) โดยมีเพียง ‘โตโยต้ามอเตอร์’ ที่ผลกระทบลดลงจากแรงหนุนยอด ขายรถยนต์ไฮบริดที่เติบโตในตลาดสหรัฐฯ

              กำไรลดทุกค่ายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โควิด-19 ภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับรถยนต์จากญี่ปุ่นในอัตรา 27.5% (เม.ย.-ก.ย. 2568) ก่อนทรัมป์ปรับลดลงเหลือ 15% เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ส่งผลให้รายได้รวมของค่ายรถญี่ปุ่นทั้ง 7 หายไปราว 1.5 ล้านล้านเยน ในช่วงครึ่งปีงบประมาณ 2568 (เม.ย.-ก.ย.)

              ทั้งนี้ กำไรสุทธิรวมของทั้ง 7 ค่ายอยู่ที่ราว 2.1 ล้านล้านเยน (ราว 4.4 แสนล้านบาท) ลดลง ประมาณ 30% จากปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ถือเป็นครั้งแรกนับจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทุกบริษัทมี ‘กำไรลดลง’ พร้อมกัน

              โนริยะ ไคฮาระ รองประธานบริหารของ ฮอนด้า มอเตอร์ ระบุว่า “นี่คือภาวะปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งเราคาดว่าจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้”
              เยนแข็ง-ภาษีศุลกากรกระทบ 3 ค่ายขาดทุนหนัก  นอกจากภาษีแล้ว ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ยังฉุดกำไรจากการดำเนินงานรวมของ 7 ค่ายลดลงอีก 700,000 ล้านเยน โดยมี 3 บริษัทที่ขาดทุนสุทธิ ได้แก่
            ▪️นิสสัน มอเตอร์
            ▪️ มาสด้า มอเตอร์
            ▪️มิตซูบิชิ มอเตอร์ส
              โดยคาดว่าภาษีนำเข้าจะกระทบต่อผลประกอบการรวมทั้งปีงบประมาณ 2568 (สิ้นสุดมีนาคม 2569) มากถึง 2.5 ล้านล้านเยน (ราว 5.2 แสนล้านบาท)

              ใครร่วง ใครรอดบ้าง? เผยมาสด้า ขาดทุนครั้งแรกรอบ 5 ปี 

             มาสด้าและซูบารุ ได้รับผลกระทบหนักสุด เนื่องจากกว่า 30% ของยอดขายมาสด้าทั่วโลกมาจากตลาดอเมริกาเหนือ และรถส่วนใหญ่ส่งออกจากญี่ปุ่น ทำให้กำไรลดลงถึง 97,100 ล้านเยน ในครึ่งปีแรก และกลายเป็นการขาดทุนสุทธิครั้งแรกในรอบ 5 ปี

             CFO ของมาสด้า เจฟฟรีย์ เอช. กายตัน ระบุว่า การลดภาษีศุลกากรล่าช้ากว่าคาด (จากเดือน ส.ค. เป็น ก.ย.) ทำให้ผลกระทบในไตรมาส 2 สูงถึง 10,300 ล้านเยน

             ซูบารุกำไรหายกว่า 1.5 แสนล้านเยน  มีรายได้หลักจากตลาดสหรัฐมากถึง 80% แม้ยอดขายจะเพิ่มจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ แต่ภาษีศุลกากรมูลค่า 154,000 ล้านเยน ได้ลบล้างกำไรไปทั้งหมด บริษัทจึงเริ่มโครงการ ลดต้นทุน 200,000 ล้านเยนภายในปี 2030 เพื่อรับมือกับภาษีที่อาจกลายเป็นมาตรการถาวรในที่สุด

              ปัญหาชิปซ้ำเติม  ขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนชิปจากกรณี Nexperia ผู้ผลิตชิปจีนที่มีปัญหากับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ระงับการจัดส่ง ทำให้ ฮอนด้า ต้องลดการผลิตในเม็กซิโกและสหรัฐช่วงปลาย ต.ค. และปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปีงบประมาณ 2568 ลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบจากชิปต่อกำไรสูงถึง 150,000 ล้านเยน

              ส่วน ซูซูกิ ได้รับผลกระทบน้อย เพราะไม่มีการจำหน่ายรถยนต์ในตลาดสหรัฐ แต่ก็เตรียมแผนรับมือกรณีชิปขาดแคลนในครึ่งปีหลัง

              โตโยต้า เจ็บน้อยสุดจากกระแส ‘ไฮบริด’  ถือเป็นผู้ชนะท่ามกลางวิกฤตนี้เพียงรายเดียว แม้ต้องจ่ายภาษีศุลกากรถึง 900,000 ล้านเยน แต่ยอดขายทั่วโลกกลับเพิ่มขึ้น 5% และมีกำไรลดลงเพียง 7% ซึ่งน้อยที่สุดในกลุ่ม

              โดยยอดขายรถยนต์ไฮบริดของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 9% และตลาดสหรัฐฯ ยังคงมีความต้องการสูง เคนตะ คอน CFO ระบุว่า แนวโน้มความนิยมรถไฮบริดจะยังดำเนินต่อไป ขณะที่ตลาดจีนก็เติบโตขึ้น 6% สวนทางกับฮอนด้าและผู้ผลิตรายอื่น

              นักวิเคราะห์ เซอิจิ สึกิอุระ จาก Tokai Tokyo Intelligence Laboratory ให้ความเห็นว่า “ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งของโตโยต้ากำลังสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง ส่งสัญญาณบวก ทั้งในจีนและอเมริกาเหนือ”

3543234

              แนวโน้มค่าเงินยังเป็นปัจจัยหนุน  ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถญี่ปุ่นประเมินอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 140-147 เยนต่อดอลลาร์ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 154 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่ากว่าที่คาดไว้มาก ถือเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้จากต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง

              อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบทั้งหมดจากภาษีศุลกากร เนื่องจากแต่ละบริษัทมีโครงสร้างซัพพลายเชนและภาระภาษีที่ต่างกัน” สึกิอุระ กล่าว

ภาพ: deberarr/Getty images, Chip Somodevilla/Getty Images

ที่มา TheStandardWealth เรียบเรียงโดย พิสิษฐ์ จิตอาสา

——————————————————————————————————————————–

เรื่องน่าอ่าน